วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชาติพันธุ์ 
          ชาติพันธุ์ (ethnicity หรือ ethnos) คือการมีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูดเดียวกัน และเชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษกลุ่มเดียวกัน เช่น ไทย พม่า กะเหรี่ยง จีน ลาว เป็นต้น กลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มวัฒนธรรม มีลักษณะเด่นคือ เป็นกลุ่มคนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน บรรพบุรุษในที่นี้หมายถึงบรรพบุรุษทางสายเลือด ซึ่งมีลักษณะทางชีวภาพและรูปพรรณ (เชื้อชาติ) เหมือนกัน รวมทั้งบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมด้วย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันจะมีความรู้สึกผูกพันทางสายเลือด และทางวัฒนธรรมพร้อมๆ กันไปเป็นความรู้สึกผูกพันที่ช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์ของบุคคลและของชาติพันธุ์ และในขณะเดียวกันก็สามารถเร้าอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์นับถือศาสนาเดียวกัน ความรู้สึกผูกพันนี้อาจเรียกว่า "สำนึก" ทางชาติพันธุ์ หรือชาติลักษณ์ (ethnic identity)
          พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาให้ความหมายชาติพันธุ์ (ethnos) ว่าหมายถึง "กลุ่มที่มีพันธะเกี่ยวข้องกัน และที่แสดงเอกลักษณ์ออกมา โดยการผูกพันลักษณาการของเชื้อชาติและสัญชาติเข้าด้วยกัน... ถ้าจะใช้ให้ถูกต้องจะมีความหมายเฉพาะใช้กับกลุ่มที่มีพันธะทางเชื้อชาติและทางวัฒนธรรม ประสานกันเข้าจนสมาชิกของกลุ่มเองไม่รู้สึกถึงพันธะของทั้งสองนี้ และคนภายนอกที่ไม่มีความเชี่ยวชาญจะไม่แลเห็นถึงความแตกต่างกัน" และพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาให้ความหมาย ชาติพันธุ์วิทยา (ethnology) ว่าหมายถึง "การพินิจศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมปัจจุบัน หรือวัฒนธรรมเดิมที่สูญหายไปของกลุ่มมนุษยชาติทั้งหลายในโลกชาติพันธุ์วิทยาอาจหมายถึงมานุษยวิทยาวัฒน-ธรรมก็ได้"
          การมองว่ากลุ่มชาติพันธุ์คือกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันนั้น อธิบายได้ว่า ในระยะแรกมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มีลักษณะคล้ายครอบครัวขนาดใหญ่ เมื่อคนกลุ่มเล็กอาศัยอยู่ด้วยกัน ก็สามารถเข้าใจกันและประพฤติปฏิบัติต่อกันได้ โดยไม่มีความขัดแย้งเท่าใดนัก เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้น มีคนหลายครอบครัวอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน การดำเนินวิถีชีวิตอาจแตกต่างกันบ้าง ความคิดอาจไม่สอดคล้องกันและปัญหาเรื่องความขัดแย้งก็คงจะตามมา ฉะนั้นเมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จำเป็นต้องมีระบบระเบียบมากขึ้นต้องมีการตกลงกันว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ข้อตกลงเกี่ยวกับวิถีชีวิตการประพฤติปฏิบัติ และความคิดความเชื่อ จึงเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์และเรียกรวมๆ ว่า "วัฒนธรรม" กลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันเรียกว่าเป็นคนชาติพันธุ์เดียวกัน
          วัฒนธรรม คือ ระบบสัญลักษณ์ซึ่งสมาชิกของสังคมตกลงกันว่าจะใช้ร่วมกัน ผู้ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันคือคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน มีวัฒนธรรมร่วมกันและสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การสืบทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่พ่อแม่อบรมสั่งสอนลูก ทำให้เกิดการสืบทอดชาติพันธุ์ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ วัฒนธรรมและสังคมจึงเป็นความสัมพันธ์ที่แยกออกจากกันยาก และเนื่องจากการสืบทอดทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์เป็นการสืบทอดทางชีวภาพหรือทางสายเลือดด้วยความแตกต่างระหว่างปัจจัยทางวัฒนธรรมและปัจจัยทางชีวภาพจึงแยกออกจากกันยาก และทำให้คนทั่วไปไม่คำนึงถึงข้อแตกต่างนี้ นอกจากนี้ เนื่องจากกลุ่มทางชีวภาพหรือกลุ่มเชื้อชาติครอบคลุมหลายกลุ่มชาติพันธุ์ความไม่ชัดเจนจึงอาจเกิดขึ้นได้
          บางครั้งคนไทยใช้คำว่า เชื้อชาติ ในภาษาพูดทั่วๆ ไปในความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ว่า คือกลุ่มคนที่มีจุดกำเนิดของบรรพบุรุษร่วมกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณีเดียวกัน และพูดภาษาเดียวกัน ตลอดจนมีความรู้สึกในเผ่าพันธุ์เดียวกัน ตัวอย่างของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ คือกลุ่มคนจีนกลุ่มคนไทย กลุ่มคนพม่า กลุ่มคนลาว กลุ่มคนเขมร กลุ่มคนกะเหรี่ยงกลุ่มคนอินเดีย กลุ่มคนม้ง ปัจจัยสำคัญในการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์คือ ความสำนึกของคนในกลุ่มนั้นว่ามีชาติพันธุ์ใด ปัจจัยทางด้านภาษาอย่างเดียวไม่สามารถกำหนดชาติพันธุ์ได้ ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดที่สำคัญกว่า ทั้งนี้เพราะคนจีน หรือคนอินเดีย หรือคนกะเหรี่ยง มีจิตสำนึกในความเป็นคนจีน หรือความเป็นคนอินเดีย หรือความเป็นคนกะเหรี่ยง โดยคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้ต่างรวมกันโดยเชื้อชาติ สัญชาติ และชาติพันธุ์ แล้วก็มีภาษาพูดหลายภาษา คนจีนที่พูดภาษาไหหลำ กวางตุ้งและฮกเกี้ยน ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนจีน คนอินเดียที่พูดภาษาฮินดีเบงกาลี และทมิฬ ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนอินเดีย และคนกะเหรี่ยงไม่ว่าจะเป็นเผ่าโปว์หรือเผ่าสะกอ ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนกะเหรี่ยง ฉะนั้น การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์จึงขึ้นอยู่กับความสำนึกของตัวเองว่าเป็นคนกลุ่มใด
          นอกจากนี้ คนบางคนยังไม่อาจจะยึดในกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ตลอดไป เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งก็มีความสำนึกอย่างหนึ่ง เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปก็มีความสำนึกอีกอย่างหนึ่งเช่น คนจีนที่เกิดในประเทศไทย และเรียนที่โรงเรียนคนไทย เมื่ออยู่ในหมู่เพื่อนที่โรงเรียนก็มักจะมองว่าตัวเองเป็นคนไทย แต่เมื่อกลับบ้านไปอยู่ในหมู่ญาติพี่น้องซึ่งพูดภาษาจีน ก็จะมองว่าตัวเองเป็นคนจีน ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เขาอาจจะมองว่าตัวเองเป็นชาวเขา หรือ "คนเมือง" (คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่พื้นราบในภาคเหนือ) หรือคนไทยก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม คนเชื้อสายกุยในประเทศไทยอาจจะเป็นคนกุย คนอีสาน หรือคนไทยก็ได้เช่นเดียวกัน
          การที่คนๆ เดียวมีความรู้สึกว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด และไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือถูก แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความสำนึกในเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และไม่ถาวร เมื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีความสำนึกในกลุ่มชาติพันธุ์อย่างชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง คนกลุ่มนั้นก็มักจะเป็นคนที่มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เชื้อชาติชาติพันธุ์ และสัญชาติ สอดคล้องกัน
                                                        


วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

  ภัยพิบัติทางธรรมชาติ : สิ่งใกล้ตัวที่ควรรู้จัก
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Natural  Disasters) รูปแบบต่าง ๆ ทางธรรมชาติที่ได้มีการศึกษารวบรวม และบันทึกรายละเอียดไว้  อาจสรุปได้เป็น  10  ประเภท  คือ
1.  การระเบิดของภูเขาไฟ (Volcano  Eruptions)
2.  แผ่นดินไหว  (Earthquakes)
3.  คลื่นใต้น้ำ  (Tsunamis)
4.  พายุในรูปแบบต่าง ๆ (Various  Kinds  of  storms)  คือ
        ก.
  พายุแถบเส้น  Tropics  ที่มีแหล่งกำเนิดในมหาสมุทร (Tropical  Cyclones)

       
ข.  พายุหมุนที่มีแหล่งกำเนิดบนบก (Tornadoes)
        ค.  พายุฝนฟ้าคะนอง (Thunderstorms)

5.  อุทกภัย (Floods)
 6.  ภัยแล้ง  หรือทุพภิกขภัย (Droughts)
7.  อัคคีภัย (Fires)
8.  ดินถล่ม และโคลนถล่ม (Landslides  and  Mudslides)
9.  พายุหิมะและหิมะถล่ม (Blizzard  and  Avalanches)  และ10. โรคระบาดในคนและสัตว์ (Human  Epidemics  and  Animal  Diseases)


ลักษณะของภัยแต่ละชนิด
1)  ภัยจากน้ำท่วม  เป็นภัยที่เกิดขึ้นได้ทุกแห่ง  มีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันออกไป  ดังนี้คือ
      
1.1  การเกิดน้ำท่วมขังในที่ราบลุ่ม  เนื่องมาจากความไม่สมดุลระหว่าง  ก.ปริมาณน้ำฝน  ข.ปริมาณน้ำฝนที่ซึมลงสู่ใต้ดิน  และ  ค.ปริมาณน้ำผิวดินที่ไหลหรือระบายออกจากพื้นที่นั้น ถ้าปริมาณน้ำส่วน ก.  มากกว่าส่วน ข.  และส่วน ค.  รวมกัน  ก็จะเกิดการท่วมขัง ความรุนแรงของการท่วมขังไม่มากนัก  ค่อยเป็นค่อยไป  แต่อาจกินเวลานานกว่าจะระบายน้ำออกได้หมด
      1.2  การเกิดน้ำป่าบริเวณป่าเขาที่มีความลาดชันสูง  ถ้าปริมาณฝนในพื้นที่รับน้ำมีมาก  จนทำให้ปริมาณน้ำผิวดินที่ระบายออกจากพื้นที่มีมาก  ด้วยอัตราที่รุนแรงเรียกว่า  น้ำป่า  ยิ่งถ้าป่าบริเวณนั้นถูกทำลายและปราศจากพืช  ต้นไม้ปกคลุมดิน  ก็จะพัดเอาเศษต้นไม้  กิ่งไม้  ตะกอน  ดิน  ทราย  และหินลงมาด้วย  ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่บริเวณท้ายน้ำเป็นอย่างมาก  อุทกภัยจากน้ำป่ามีความรุนแรงกว่าประเภทแรก  และจำเป็นต้องใช้เวลานานในการแก้ไขจนกว่าพื้นที่นั้นจะกลับฟื้นคืนสภาพดังเดิมได้
      1.3  น้ำล้นตลิ่งของลำน้ำ  เนื่องจากปริมาณและอัตราน้ำหลากที่เกิดขึ้นในบริเวณต้นน้ำ  มีมากเกินกว่าความสามารถของแม่น้ำในบริเวณดังกล่าวที่จะรับได้ ถ้าเป็นแม่น้ำขนาดเล็กและปริมาณของน้ำหลากไม่มากนำ  หรือเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่มีระบบควบคุมอัตราการไหลที่ดี  เช่นมีเขื่อน  อ่างเก็บน้ำ  ฝายทดน้ำ  หรือประตูระบายน้ำฯ  ความรุนแรงและความเสียหายอันเกิดขึ้นจากอุทกภัยอาจไม่มากนำ แต่ถ้าเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ปราศจากระบบควบคุมจะก่อให้เกิดความเสียหายมาก  และเป็นวงกว้าง
      1.4  น้ำท่วมอันเกิดจากการวิบัติของระบบควบคุม  เช่น  เขื่อนพัง  อ่างเก็บน้ำแตก  ประตูระบายน้ำไม่อาจทำหน้าที่ได้  จะก่อให้เกิดน้ำหลาก  มีความรุนแรงมากกว่าน้ำป่า  และความเสียหายที่เกิดขึ้นก็มากกว่าเช่นกัน
      1.5  การเกิด  และการเคลื่อนตัวของกำแพงน้ำ   (ดังเชนBore  หรือ  Surge)  มีความรวดเร็ว  และรุนแรงที่สุด  ปรากฏการณ์นี้  เป็นการเพิ่มระดับน้ำด้านเหนือน้ำอย่างมาก  และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักจะเป็นช่วงต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเลซึ่งเป็นคอขวด  ภายใต้สภาพที่เหมาะสมของลำน้ำ  และทะเล  น้ำท่วมจากสาเหตุนี้จะมีความรุนแรง  และเป็นไปอย่างรวดเร็ว  จนไม่อาจอพยพคน  สัตว์เลี้ยง  สิ่งของได้ทัน  สภาพของความเสียหายจะเป็นไปอย่างกว้างขวาง  และมากมาย

2.2  ภัยจากพายุหมุน   ที่มีแหล่งกำเนิดมาจากมหาสมุทรในบริเวณเส้น Tropics  อากาศบริเวณเหนือน้ำในมหาสมุทรใกล้เส้นศูนย์สูตร  เมื่อได้รับความร้อนจากการแฟ่รังสีของดวงอาทิตย์เป็นเวลานาน จะมีความอุณหภูมิสูงขึ้นและลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า  มวลอากาศเย็นจากบริเวณเส้นรุ้งที่อยู่ห่างไกลออกไปจะเคลื่อนที่มาปะทะกัน  แนวปะทะระหว่างมวลอากาศทั้งสองชนิดก่อให้เกิด  Warm  Front  (มวลอากาศร้อนดันมวลอากาศเย็นให้เคลื่อนที่)  และ  Cold  Front (มวลอากาศเย็นดันมวลอากาศร้อนให้เคลื่อนที่)  หมุนรอบแกนกลางซึ่งเรียกว่า  Low-Pressure  Center  แล้วเคลื่อนที่เข้าสู่แผ่นดิน  พายุหมุนประเภทนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายร้องกิโลเมตร  และความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางของพายุประมาณ  100-150  กิโลเมตร/ชั่วโมง  ยังผลให้เกิดพายุลมและฝน  ตามมาด้วยอุทกภัยในบริเวณกว้างขวาง

     
ในแต่ละปีมีพายุหมุนประเภทนี้  ทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิค  (เรียกว่า Tyhoon,T)  ในมหาสมุทรแอตแลนติค  เรียกว่า  Hurricane,H)   และในความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากมายจนนับได้ว่าเป็นภัยจากธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด

2.3  ภัยจากพายุหมุนที่เกิดบนบก
 
 ส่วนมากเกิดในมลรัฐต่าง ๆ ทางภาคใต้  และตะวันออกเฉียงใต้ใกล้กับอ่าวเม็กซิโก  ได้แก่  Texas, Oklahoma, Kansas,  Nebraska, Mississippim, Missouri, Alabama, Tennessee, Kentucky,  lowa  lllinois, Indiana  และ Obio   เป็นต้น  (ซึ่งรวมกันเรียกว่า  Central  and  Gulf  Coash  states  ของประเทศสหรัฐอเมริกา)
    
พายุนี้เรียกเฉพาะว่า  Tornadoes  นับเป็นพายุหมุนที่มีแรงลมสูงสุดถึง  400-500  ไมล์/ชม.  แต่มีอายุของการเกิดสั้น  และครอบคลุมพื้นที่ไม่มากน้ำ  เมื่อเทียบกับพายุหมุน  Typhoons, Hurricanes  และ Cyclones  ดังนั้นความเสียหายจึงมีน้อยกว่า

    สาเหตุของการเกิดพายุหมุนประเภทนี้ได้แก่  การปะทะกันของมวลอากาศร้อน  (Warm  Air  Mass) จากบริเวณอ่าวเม็กซิโก  ทางภาคใต้  กับมวลอากาศเย็น(Cool  Air  Mass)  จากทางภาคเหนือ  และภาคตะวันตก  พายุหมุน  Tornado  ก่อให้เกิดเมฆฝนขนาดใหญ่+ฟ้าแลบ+ฟ้าร้อง+ฟ้าผ่า  และฝนที่มีความรุนแรงของลมสูงมาก  มีรูปร่างคล้ายงวงช้าง  (บ้านเราเรียกว่าลมงวงช้าง)ในแต่ละปีจะเกิดพายุหมุนดังกล่าวหลายร้อยลูกแถบ  Midwest  States  ของประเทศสหรัฐอเมริกา


2.4  ภัยจากพายุฝนฟ้าคะนอง
  พายุประเภทนี้พบบ่อยมากในพื้นที่ๆภูมิอากาศร้อน  และอบอุ่น  อาจกล่าวได้ว่าในแต่ละวันจะมีพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นทั่วโลกมากถึงประมาณ  45,000  ลูก  ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดพายุแบบนี้  คือการลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศระดับสูงของกระแสอากาศที่มีความชื้นมาก  และอุณหภูมิสูงอย่างรุนแรง,  เมื่ออากาศร้อนชื้นดังกล่าวลอยตัวสูงขึ้นอุณหภูมิจะลดลง  และจะคายความร้อนแอ่งออกมาขณะที่เกิดการลั่นตัวของเมฆฝนเป็นหยดน้ำ  การคายความร้อนของมวลเมฆฝนดังกล่าวทำให้กระสกลมพัดขึ้นในแนวดิ่ง  และเกิดพายุ  ขณะเดียวกันอากาศบริเวณโดยรอบก็จะพัดเข้าสู่บริเวณศูนย์กลางของพายุ  การลั่นตัวของความชื้นในกระแสอากาศก่อให้เกิดเมฆฝนขนาดใหญ่ (Cumulo  Nimbus)ลอยขึ้นสู่ระดับสูงประมาณ 15,000 ฟุต (หรือประมาณ 4,600  เมตร)  จากฐานถึงยอดของเมฆนั้น  เมฆฝนนี้ก่อให้เกิดฝนและลูกเห็บ  บางทีอาจมีฟ้าแลบ  ฟ้าผ่าร่วมด้วย  พายุฝนฟ้าคะนองครอบคลุมพื้นที่ไม่กว้างขวางนำ  และจะสลายตัวภายในระยะเวลาอันสั้นไม่เกิน  1  ถึง  2 ชั่วโมง


2.5  ภัยจากการระเบิดของภูเขาไฟ
 
 นับเป็นมหันตภัยธรรมชาติที่รุนแรง  น่าสพรึงกลัว  และก่อให้เกิดความเสียหายมากอย่างหนึ่ง  แต่บังเอิญโชคดีที่ไม่เกดขึ้นกระจายทั่วไป  เหมือนภัยธรรมชาติอีก 4 ประเภท  ดังได้กล่าวมาแล้ว 
ภูเขาไฟมักจะเกิดขึ้นในสภาพของธรรมชาติดังต่อไปนี้คือ
       ก.  ตามรอยแยกขนาดใหญ่บนผิวโลก
       ข.  แนวสัน  หรือความต่างระดับของพื้นให้มหาสมุทร  และ
       ค.  การเคลื่อนตัวสัมพันธ์กันของ  Tectonic  Plates  บนเปลือกโลก
   วงรอบมหาสมุทรแปซิฟิค  ซึ่งเชื่อมต่อกับทวีปเอเชีย,  ทวีปอเมริกาเหนือ  และทวีปอเมริกาใต้  ซึ่งเป้นของของ  Pacific  Plate  นั้นมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า  Ring of  Fire  มีภูเขาไฟขนาดใหญ่  ที่มีอายุมากกว่า  2,000  ปี  และยังไม่ดับสนิทอยู่อีกมากกว่า  300 ลูกกระจัดกระจายไปทั่ว  นับตั้งแต่  Alaska,  อเมริกาเหนือ,  อเมริกาใต้  ลงไปถึง  Chile  ข้าม  New  Zealand,  Philippines  จนถึงญี่ปุ่น
   การระเบิดของภูเขาไฟจะพ่น  เถ้าถ่าน  หินละลายออกมาเป็นจำนวนมหาศาล  เมือง  Pompeii  ประเทศอิตาลี  ถูกฝังจากการระเบิดของภูเขาไฟ  Vesuvius  เมื่อปี   79  ก่อนคริศตกาล  ผู้คนเสียชีวิตหลายพันคน


2.6  ภัยจากการเกิดแผ่นดินไหว
 
 แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น  และสัมผัสได้บริเวณเปลือกโลกเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปล่อยพลังงานออกมาเป็นจำนวนมาก  และทันทีทันใดในรูปของคลื่อนแห่งความสั่นสะเทือน  ซึ่งเกิดลึกลงไปใต้ดิน  หรือใต้พื้นมหาสมุทรจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก(Earth  Crust)  ตามแนวแยก (Fauts)  ซึ่งเป็นไปได้ในหลายลักษณะแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งอาจมีความรุนแรงมากน้อยต่างกัน  และยังผลให้เกิดผลเสียหายต่อชีวิต  และทรัพย์สอน  ตามไปด้วยเป็นอย่างมาก  แผ่นดินไหวอาจก่อให้เกิด  ภูเขาไฟระเบิด  หรือคลื่นใต้น้ำ  (Tsunami)  ซึ่งช่วยแผ่กระจายความเสียหายไปตามมวลน้ำในมหาสมุทรได้อย่างมากมายมหาศาล


2.7  ภัยจากคลื่นใต้น้ำ  คลื่นและกระแสน้ำ  เป็นการเคลื่อนไหวของน้ำในทะเล  2  ลักษณะซึ่งไม่เหมือนกัน  แต่มีความเกี่ยวเนื่องกันบาทีพลังงานจากคลื่น,  กระแสน้ำ  เสริมด้วยลม  และพายุที่มีความเร็วสูงจะก่อให้เกิดอุทกภัยที่มีความรุนแรง  และอำนาจทำลายล้างสูงมาก        

  ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์เมื่อเดือนมกราคม  ปีค.ศ.1753  ในทะเลเหนือ  กล่าวคือ  ระดังน้ำสูง (High  Spring  Tide)  บวกกับคลื่นสูง (Storm  Waves)  และลม  (Winds)  ซึ่งมีความเร็วสูงถึง  185 กิโลเมตร/ชั่วโมง  (หรือ 115  ไมล์/ชม.)  ทำให้ระดับน้ำในทะเลเหนือสูงกว่าปกติถึง  3  เมตร  (10 ฟุต)  ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า  “SURGE”  ในทะเล,  ผลลัพธ์ก็คือ  เกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างขวางแถบชายทะเลภาคตะวันออกของอังกฤษ  ในส่วนของเนเธอร์แลนด์พื้นที่ประมาณ  4.3ของประเทศถูกน้ำท่วมขัง  ทำให้บ้านเรือนราว  30,000  หลังได้รับความเสียหาย และถูกทำลาย  มีผู้คนเสียชีวิตกว่า 1,800  คน
  คลื่นในทะเลและมหาสมุทรส่วนใหญ่เกิดจากแรงเสียดทานอันเนื่องมาจากความเร็วของลมพัดเหนือน้ำ  การเคลื่อนที่ของคลื่นเคลื่อนตัวใน  2 ลักษณะประกอบกัน  คือ 1 การหมุนตัว (Rotation)  และ 2.  การเคลื่อนตัวในแนวเส้นตรงไปข้างหน้า  (Trancslation)  คลื่นที่พัดเข้าสู่ชยฝั่งทะเลแล้วสลายตัวขึ้นไปตามชายหาด  หรือกระทบกับผาหิน  มักมีกำเนิดจากพายุในตอนกลางของมหาสมุทร  หรือลมที่เกิดขึ้นในบางส่วนของมหาสมุทรนั้น
   คลื่นใต้น้ำ (ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Tidal  Waves, หรือ Tsunami)  ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำ  (Tides)  ในมหาสมุทรเลยแม้แต่น้อย  สาเหตุหลักเกิดมาจาก
      ก.  แผ่นดินไหว  (Earthquakes)
      ข.  การระเบิดของภูเขาไฟ  (Volcanic  Eruptions) หรือ
      ค.  การถล่มทะลายของภูเขาไฟหรือมวลดินใต้น้ำ  (Submarine  Landslides)
แต่สาเหตุหลักของการเกิดคลื่นใต้น้ำส่วนใหญ่และขนาดใหญ่ที่มีความรุนแรงมากคือ “แผ่นดินไหว” ซึ่งเกิดขึ้นใต้ท้องมหาสมุทร

  ในท้องทะเลคลื่นจากความสั้นสะเทือน  (Shock  Waves)  ที่เกิดขึ้นจากบริเวณศูนย์กลางของแผ่นดินไหว  แล้วกระจายออกไปทุกทิศทางโดยรอบนั้นมักมีความสูงน้อยมาก  เพียง  60  ถึง  90 เซนติเมตร  (2 ถึง 3 ฟุต ) แต่ความยาวของคลื่นอาจะเป็นหลายร้อยกิโลเมตร  และความเร็วหลายร้อยกิโลเมตร/ชั่วโมงดังตัวอย่างของคลื่นใต้น้ำในร่องลึกใต้มหาสมุทรบริเวณที่เรียกว่า  Aleutian  Trench ทางเหนือสุดของมหาสมุทรแปซิฟิค  เมื่อปี  1946  ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายต่อหมู่เกาะฮอนโนลูลู  ซึ่งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค  Tsunami  ที่เกิดขึ้นเดินทางจากแหล่งกำเนิด  จนถึงหมู่เกาะฮอนโนลูลูใช้เวลาประมาณ  4  ชั่วโมง  34  นาที  ต่อระยะทาง 3,220  กิโลเมตร  (หรือ2,000ไมล์)  ด้วยความเร็วเฉลี่ยราว  00 กิโลเมตร/ชั่วโมง  (หรือ 438ไมล์/ชั่วโมง) ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงมาก  เทียบได้กับความเร็วของเครื่องบินไอพ่น

   คลื่นที่มากระทบชายฝั่งของหมู่เกาะฮอนโนลูลูมีความสูงกว่า  38  เมตร (หรือ 1125  ฟุต) จากการเปลี่ยนรูปของพลังงานจลน์จากคลื่นสูง  15  เมตร  (50  ฟุต)  มาเป็นพลังงานศักย์ดังกล่าว  ส่วนมาก  Tsunami  มีความรุนแรงมากที่สุดมักจะเกิดในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิค  แต่มีเพียงบางส่วนที่เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติค
ในครั้งนั้น  Tsunami  เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรแอตแลนติคใกล้กับ  Lisbon  ปอร์ตเกสเมื่อปี  1755  คลื่น  ขนาดความสูง  4  ถึง  6  เมตร  (หรือ 10  ถึง  20 ฟุต)  ถาโถมเข้าสู่ในทันทีทันใด และได้แผ่ไปถึงหมู่เกาะ west  Indies  อยู่ฟากตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติคมีระยะห่างออกไปหลายพันไมล์ความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สอนมีเป็นจำนวนมากมายมหาศาล

   
ถ้าย้อนมองอดีตจากปัจจุบันไปสัก  1 ศตวรรษ  (ราว  พ.ศ. 2551  จนถึง  พ.ศ.2451)  จะเห็นได้ว่าเป็นยุคแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่  2  เมื่อลองประมาณการจำนวนคนที่ต้องเสียชีวิตจากผลของสงครามโลกทั้งสองครั้งรวมแล้วไม่น้อยกว่า  10  ถึง  15  ล้าน  คนอย่างแน่นอน  แต่ถ้าเปรียบเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้ง  10  ประเภท  ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน  ตามที่ได้มีการจดบันทึกไว้  น่าจะมีตัวเลข  มากกว่าตัวเลขดังกล่าว  2  หรือ  3  เท่าอย่างแน่นอน

  ภัยพิบัติทางธรรมชาติดังกล่าวล้วนเป็นภัยใกล้ตัว  อาจจะเกิดขึ้นที่ไหน  และเมื่อไรก็ได้  ทำให้มองดูแล้วน่ากลัวมาก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  จากการเรียนรู้ทางประสบการณ์  ของภัยพิบัติต่าง ๆ ด้วยตนเอง  และ/หรือจาก  ตำรา  บทความ  ตลอดจนงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้  ล้วนมีประโยชน์ในการดำรงชีวิตท่ามกลางภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งอยู่รอบตัวเราได้  ด้วยความอยู่รอดปลอดภัยในภายภาคหน้า


  ประเทศไทยเรายังนับว่ามีบุญ  และโชคดีที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีน้อย  ที่มีก็ไม่มีความรุนแรงมากนัก  ดังเช่นประเทศอินโดนีเซีย  ประเทศฟิลิปปินส์ฯ  ซึ่งอยู่ในทวีปเอเชียด้วยกันกับเราล้วนมีภัยพิบัติ  เกี่ยวกับภูเขาไฟ  แผ่นดินไหว  และคลื่นใต้น้ำที่มีความรุนแรงในระดับต้น ๆ เป็นประจำแทบทุกปี  และในแต่ละปีอาจมีหลายครั้ง  ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิต  และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก  แต่ประชากรในทั้งสามประเทศฯ  ก็ยังคงอยู่ร่วมกับภัยพิบัติดังกล่าวได้อย่างมีความสุข


   ในช่วงระยะเวลาทศวรรษ  คงได้ทราบข่าวจากสื่อต่าง ๆ ถึงการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่โน่นบ้าง  ที่นี่บ้างอยู่เป็นประจำ  โดยเฉพาะประเทศไทยเราต้องเผชิญกับภัยพิบัติของ  Tsunami  ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์  บริเวณทะเลอันดามันเกิดแผ่นดินไหวขนาด  9.0  ตาม  Richter’ Scale  ทางตะวันตกของเกาะสุมาตราประเทศอินโดนีเซีย  เมื่อประมาณ  08.00น.  ของวันอาทิตย์  ที่  26  ธันวาคม พ.ศ.  2547  ตามมาด้วย  Tsunami  ขนาดใหญ่  และมีความร้ายแรงมาก  กระทบกระเทือนไม่ถึงกว่า  10  ประเทศโดยรอบทำให้มีคนเสียชีวิตราว  300,000  คน  และความเสียหายหลายพันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา  
สิ่งนี้เป็นการจุดประกายถึงการเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อเผชิญภัยพิบัติที่ร้ายแรงต่อไปในภายภาคหน้า

  ภัยพิบัติทางธรรมชาติ : สิ่งใกล้ตัวที่ควรรู้จัก
รศ.พิชัย บุณยะกาณจน
 รศ. ชูโชค อายุพงศ์
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
http://www.thaicondoonline.com/knowlage/677-natural-disasters


ร์ฟีด์

การ์ฟีลด์     (อังกฤษGarfield) เป็นการ์ตูนช่องเรื่องสั้น เขียนโดย จิม เดวิส ตัวละครนำในเรื่องได้แก่ เจ้าแมวอ้วน การ์ฟีลด์ เจ้าหมาน้อย โอดี้ และหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเจ้าการ์ฟิลด์และโอดี้ จอน อาร์บัคเคิ้ลในปี ค.ศ. 2006 การ์ตูนช่องเรื่องการ์ฟีลด์ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กว่า 2,570 ฉบับทั่วโลก หนังสือกินเนสบุ๊คได้บันทึกว่าการ์ตูนเรื่องนี้ เป็นการ์ตูนช่องที่ได้รับการตีพิมพ์มากที่สุดในโลก[1] นอกจากนี้ ความสำเร็จของการ์ฟีลด์มิได้หยุดแค่ในหนังสือพิมพ์ การ์ฟีลด์ยังปรากฏโฉมในรูปแบบ  การ์ตูนคอมมิค การ์ตูนแอนนิเมชั่น ภาพยนตร์ และสินค้าลิขสิทธิ์อื่นๆ อีกมากมายหลายรูปแบบ ถือเป็นการ์ตูนอเมริกันที่ประสบความสำเร็จที่สุดเรื่องหนึ่ง

ที่มาของชื่อ การ์ฟีลด์

จิม เดวิส ผู้ให้กำเนิดเจ้าเหมียวอ้วน การ์ฟีลด์ ได้นำชื่อนี้มาจากปู่ของเขา เจมส์ การ์ฟีลด์ เดวิส ซึ่งชื่อของปู่ได้ตั้งตามชื่อของอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เจมส์ การ์ฟีลด์

ประวัติ



ค.ศ. 1978 

จิม เดวิส เริ่มเขียนการ์ตูน เรื่อง การ์ฟีลด์ ในหนังสือพิมพ์ประเทศสหรัฐอเมริกา

ค.ศ. 1979 

การ์ตูน เรื่องการ์ฟีลด์ เขียนครบ 100 ฉบับ

ค.ศ. 1980 

การ์ตูน เรื่องการ์ฟีลด์ มีหนังสือเล่มแรกเรื่อง ชื่อเรื่องว่า Garfield at Large ยอดขายอันดับ 1

ค.ศ. 1981 

การ์ตูน เรื่องการ์ฟีลด์ มีหนังสือ 3 เล่ม ยอดขายติดอยู่ใน The New York Times

ค.ศ. 1982 

การ์ตูน เรื่องการ์ฟีลด์ เขียนครบ 1,000 ฉบับ ได้มีภาพยนตร์ ชื่อเรื่อง Here Comes Garfield ฉายทางช่อง CBS

ค.ศ. 1983 

การ์ตูน เรื่องการ์ฟีลด์ได้ถูกแปล 7 ภาษา มีขาย 22 ประเทศ

ค.ศ. 1984 

ได้สร้างบัลลูน การ์ฟีลด์ ขนาดใหญ่ ในงานพาเหรดวันขอบคุณพระเจ้า

ค.ศ. 1985 

Garfield In The Rough ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ด สาขารายการการ์ตูนดีเด่น

ค.ศ. 1986 

การ์ตูน เรื่องการ์ฟีลด์ เขียนครบ 1,800 ฉบับ Garfield's Halloween Adventure ได้เข้าชิงเอ็มมี อวอร์ด

ค.ศ. 1987 

การ์ตูน เรื่องการ์ฟีลด์ เขียนครบ 2,000 ฉบับ

ค.ศ. 1988 

การ์ฟีลด์อายุครบ 10 ปี


ตัวละคร


ตัวละครหลัก

Garfield bd.jpg
การ์ฟีลด์ 
เป็นเจ้าแมวอ้วน สีส้ม มีลายสีดำ และมีความคิดเป็นของตัวเอง ดูจะมั่นใจในตัวเอง ด้วยนิสัยขวางโลก แต่ขี้เกียจเป็นที่สุด 2 สิ่งที่มันชอบที่สุดคือ การนอนและการกิน โดยเฉพาะลาซานญ่าซึ่งเป็นของโปรด นอกจากนี้ มันยังชอบดูทีวี และชอบแกล้ง จอน ผู้เป็นเจ้าของ และ โอดี้ เจ้าหมาน้อยคู่กัด มันยังชอบทรมานบุรุษไปรษณีย์เล่นๆ และชอบทุบแมงมุม อาหารว่างของมันคือ นกขมิ้น และนกส่วนใหญ่ที่ขนาดพอคำ มันปฏิเสธที่จะจับหนู (และก็ชอบเป็นเพื่อนกับหนู) แม้จะดูว่ามันชอบกินไปซะหมด แต่สิ่งที่มันเกลียดมาก คือ ผักโขม และลูกเกด ส่วนที่ดีที่สุดของมัน คือ มันรักครอบครัว นั่นคือเจ้านายและโอดี้ แม้ถึงจะกัดกันบ่อยแค่ไหนก็ตาม การ์ฟีลด์ เกิดในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ซึ่งเป็นวันปรากฏตัวครั้งแรก

Odie bd.jpg
โอดี้ (Odie) 
แรกเริ่มเดิมที โอดี้เป็นหมาของ ไลแมน (Lyman) เพื่อนของจอน แต่หลังจากที่บทบาทของไลแมนในการ์ตูนหมดไป (ทางจิม เดวิส กล่าวว่า "เขาเป็นเกย์ และเริ่มอยากจะทำอะไรจอน" จึงได้ตัดเขาจากอีกหนึ่งตัวละครหลักไปเสีย) โอดี้จึงกลายเป็นของจอนไปโดยปริยาย โดยลักษณะทั่วไปของโอดี้คือ เป็นเจ้าหมาน้อย ขนสั้นสีเหลือง หูยาวตั้งสีน้ำตาล มันชอบแลบลิ้นสีแดงยาวตลอดเวลา มันเป็นหมาที่น่ารัก แต่ดูจะงี่เง่าไปหน่อย มันไม่พูด ถ้าจะพูดก็เป็นคำพูดสั้นๆ เช่น หิวๆ กลัวๆ วิ่งๆ ชอบคาบลูกบอลเล่น เป็นคู่กัดกับการ์ฟีลด์มาตลอด มันถูกการ์ฟีลด์แกล้งอยู่เสมอ โอดี้ ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1978 และถือว่าวันนี้เป็นวันเกิด

Jon bd.jpg
จอน อาร์บัคเคิล (Jon Arbuckle) 
มีชื่อจริงว่า โจนาธาน ควินซี่ อาร์บัคเคิล (Jonathan Quincy Arbuckle) เป็นเจ้าของการ์ฟีลด์และโอดี้ เขาเป็นคนที่เด๋อด๋า ซุ่มซ่าม จอมเปิ่น แต่ใจเย็น เขามักเป็นคู่กัดกับการ์ฟีลด์เสมอ (ทั้งที่การ์ฟีลด์ได้แต่คิด แต่พูดไม่ได้) เขาไม่เคยเดทกับผู้หญิงคนไหนสำเร็จเลยสักครั้ง เขาตกหลุมรัก ดร.ลิซ วิลสัน สัตวแพทย์ของการ์ฟีลด์ จอน ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1978 (วันเดียวกันกับการ์ฟีลด์)

ตัวละครเสริม

อาร์ลีน (Arlene) 
แมวสีชมพู แฟนสาวของการ์ฟีลด์ อาร์ลีน ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1980
ปุ๊กกี้ (Pooky) 
ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ของการ์ฟีลด์ ซึ่งเดิมทีแล้ว ปุ๊กกี้เป็นตุ๊กตาหมีของจอนที่การ์ฟิลด์ไปเจอในลิ้นชักของเก่าของจอน ปุ๊กกี้ ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1980
เนอร์มอล (Nermal) 
แมวสีน้ำตาล-เทา เป็นคู่กัดกับการ์ฟีลด์ มีจุดขายที่ความน่ารักแบบเด็กๆ ใสๆ โดยเนอร์มอล เป็นแมวของญาติจอนที่บางทีก็ฝากมาให้จอนเลี้ยง เนอร์มอล ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1979
ดร.ลิซ วิลสัน (Dr. Liz Wilson) 
เป็นสัตวแพทย์ของการ์ฟีลด์ และเป็นภรรยาของจอน ซึ่งแรกเริ่มเดิมที ในการ์ตูน จอนมักจะจีบลิซด้วยมุกแป้ก ซึ่งเธอจะออกอาการเซ็ง แต่เนื่องด้วยว่าในภาพยนตร์ ความรักระหว่างทั้งสองกลับไปด้วยดี จิม เดวิส จึงต้องเปลี่ยนเนื้อเรื่องตาม และให้การ์ฟิลด์สนับสนุนทั้งคู่ด้วย ลิช ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1979

   

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

‘ทุเรียน’ เป็นมากกว่า..ราชาผลไม้!!

อุดมประโยชน์ แก้สารพัดโรค   


          ช่วงนี้ผลไม้ออกสู่ตลาดมากมาย ที่เห็นๆ โดดเด่นเป็นสง่าดูเหมือนจะเป็นทุเรียน ในวัยเยาว์ได้กลิ่นทุเรียนทีไรต้องหันหน้าหนีอย่างฉับพลัน พลางคิดว่า คนเรารับประทานทุเรียนเข้าไปได้อย่างไรกันหนอ กลิ่นฉุนเฉียวอย่างรุนแรงซะขนาดนั้น ต่างกับปัจจุบันที่สามารถรับประทานได้วันละลูกขนาดกลางๆ ยิ่งรับประทานในที่ลับตาคนยิ่งอร่อยเพราะจะได้ลุยได้เต็มที่!


          ทุเรียนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งผลไม้.. ทุเรียนมีมากกว่า 30 ชนิด มีอย่างน้อย 9 ชนิดที่รับประทานได้ ทุเรียนมีสายพันธุ์ประมาณ 100 สายพันธุ์ให้ผู้บริโภคเลือกรับประทาน ในประเทศไทยพบทุเรียนอยู่ 5 ชนิด….มิใช่ว่าจะมีแต่เพียงเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อยเพียงอย่างเดียว คุณค่าอย่างอื่นของทุเรียนก็มีด้วยไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร ไขมัน โปรตีน น้ำ เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน วิตามินซีแคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม

          ...นอกจากนั้นทุเรียนยังเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ทั้งยังอุดมไปด้วยกำมะถันและคอเลสเตอรอล แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะหากกินเข้าไประดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วยังทำให้ร้อนในและรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว...

          ในตำราสมุนไพรไทย กล่าวไว้ว่า ส่วนต่างๆ ของทุเรียนสามารถนำมาใช้เป็นยาได้ โดยใบมีรสขม, เย็นเฝื่อน มีสรรพคุณแก้ไข้, แก้ดีซ่าน, ขับพยาธิ และทำให้หนองแห้ง เนื้อทุเรียนมีรสหวาน, ร้อน มีสรรพคุณให้ความร้อน, แก้โรคผิวหนัง, ทำให้ฝีแห้ง และขับพยาธิ เปลือกทุเรียนมีรสฝาดเฝื่อนใช้สมานแผล, แก้น้ำเหลืองเสีย, พุพอง, แก้ฝี, ตาน, ซาง, คุมธาตุ, แก้คางทูม และไล่ยุงและแมลง ส่วนรากมีรสฝาดขมใช้แก้ไข้และแก้ท้องร่วง

          คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...แถวบ้านเรา ลาว เขมร พม่า นี่แหละ...เชื่อว่าทุเรียนมีคุณสมบัติให้ความร้อนซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเหงื่อออกมากกว่าปกติ วิธีโบราณที่จะลดผลกระทบจากความร้อนนี้คือรินน้ำลงในเปลือกทุเรียนหลังจากเนื้อถูกรับประทานแล้วและดื่มน้ำนั้น อีกวิธีคือรับประทานทุเรียนไปพร้อมกับมังคุดซึ่งถูกคิดว่ามีคุณสมบัติให้ความเย็น มีความเชื่อโบราณที่ห้ามผู้หญิงมีครรภ์หรือคนที่มีความดันเลือดสูงรับประทานทุเรียน

          ในบางที่เชื่อว่าทุเรียนจะเป็นอันตราย เมื่อรับประทานร่วมกับกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อันนี้บ้านเราเองก็เชื่อ เขาว่า ห้ามกินเหล้ากับทุเรียน เพราะมัน ร้อน ทั้งคู่ เดี๋ยวหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีคือบางทีรับประทานทุเรียนเพียงอย่างเดียวก็อาจตายได้ หากรับประทานมากเกินไป ไม่รู้จักความพอดี ฉะนั้น อะไร ที่มันมากเกินไปมันก็ไม่ดี เดินสายกลางดีกว่าพระท่านสอนไว้...

          นอกจากนี้แล้ว ทุเรียนยังสามารถนำไปแปรรูปและทำอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น ทุเรียนกวนอันนี้ก็อร่อย ทุเรียนกรอบก็มี แยมทุเรียนก็ได้ นอกจากอาหารหวานแล้ว อาหารคาวก็นำทุเรียนมาทำได้ ก็ทุเรียนอ่อนไงนำมาแกงได้

          เปลือกทุเรียนที่เราเคยเห็นเขาทิ้งเขาขว้างหลังจากที่ปอกเปลือกให้เราแล้ว เชื่อไหมว่า เขาสามารถนำเปลือกทุเรียนมาทำเป็นกระดาษได้ โดยนักวิจัยจากกลุ่มวิจัยพัฒนาการแปรรูปผลิตผลเกษตร สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร

          เปลือกทุเรียนเมื่อแปรรูปเป็นกระดาษแล้วมีคุณภาพเด่นเฉพาะตัว คือให้เส้นใยนุ่มและเหนียวกว่าเนื้อกระดาษสา สามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังสามารถผสมเส้นใยของผัก ผลไม้ต่าง ๆ กับเปลือกทุเรียนในการทำกระดาษ จะทำให้ได้กระดาษ ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเฉพาะตัวต่างกันไป เช่น เปลือกมังคุดได้สีม่วงธรรมชาติ เปลือกแก้วมังกรจะได้กระดาษสีม่วงธรรมชาติและผิวสัมผัสนุ่ม ใบเตยจะได้กระดาษที่มีกลิ่นหอมและมีสีเขียว หากสนใจทำกระดาษจากเปลือกทุเรียนน่าจะสอบถามได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี จ.จันทบุรี    

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

ชุดประจำชาติ ประเทศอินโดนีเซีย

ชุดประจำชาติ ประเทศอินโดนีเซีย

สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งช้อปปิ้ง

สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งช้อปปิ้ง


สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งช้อปปิ้ง
บาหลีเป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับทุกคน เด็ก ผู้ใหญ่และคู่ฮันนีมูล ฯลฯ บาหลีมีวัฒนธรรม มีความสนุก มีธรรมชาติสวยๆ มีเอกลักษณ์ที่จะหาไม่ได้จากที่อื่น บาหลีมีที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ทุกมุมของบาหลีมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย รอบๆเกาะยังมีที่ดำน้ำ ที่เล่นเซิร์ฟสำหรับนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวก็มีล่องแก่ง มีเดินป่า ไต่เขา และที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนชอบมาก คือ ช็อปปิ้ง ที่บาหลีเป็นสวรรค์ของนักช็อปปิ้งจริงๆ คนบาหลีแท้ๆ ซื่อสัตย์ ใจดี ยิ้มง่าย เชื่อในเรื่องเวรกรรมบาปบุญ มีปัญหาเรื่องขโมย เรื่องโกง เป็นเพราะ คนจากเกาะอื่นที่มาทำมาหากินที่บาหลี มาเที่ยวบาหลีทุกคนมีกิจกรรมทำได้ตลอด ฝ่ายชายไปเล่นกอล์ฟ ฝ่ายหญิงไปช็อปปิ้งหรือเข้าสปา ลูกๆก็ไปเล่นน้ำ จะไปเที่ยวบาหลีช่วงไหนของปีก็ได้ เพราะแม้แต่หน้าฝนแต่ฝนไม่ได้ตกตลอดวัน มักตกตอนเช้า 2 – 3 ชม.แล้วก็หยุด ไปตกอีกทีตอนค่ำกลางวันก็เที่ยวได้ไม่ต้องกังวลเรื่องฝน แต่ช่วงเดือนสิงหาคมกับช่วงคริสต์มาสและปีใหม่นักท่องเที่ยวจะเยอะแต่ไม่มีปัญหายังไงก็หาที่พักได้แน่นอน กูต้า สนามบินนูราลัย (Ngurah Rai) อยู่ห่างจากกูต้าเพียงนิดเดียว แต่รถติดทำให้ใช้เวลานานสักนิดกว่าจะถึงโรงแรมที่พัก กูต้ามีลักษณะคล้ายกับพัทยา และป่าตอง เต็มไปด้วยแสงสี Shopping Area และร้านอาหาร กูต้า เลเกียน และเซมินยัก อดีตเคยเป็นสามหมู่บ้านที่ห่างกัน ปัจจุบันเชื่อมติดด้วยถนนสายช้อปปิ้งที่มีร้านขายของตั้งเรียงรายสุดสายตาเปิดดึกถึงเที่ยงคืน และมีศูนย์การค้าใหญ่กูต้าเซ็นเตอร์ ห้างสรรพสินค้ามาตาฮารี สวนน้ำวอเตอร์บอมบ์ รวมทั้งฮาร์ดร๊อคโฮเต็ล สินค้า: ผ้าอิกัต ผ้าซุมบ้า ถาดไม้ขุด แมวไม้ทาสี
นูซาดูอา (Nusa Dua) คือติ่งตรงปลายสุดของเกาะบาหลี เป็นแหล่งพักผ่อน ฮันนีมูน และเล่นกอล์ฟ โดยพัฒนาจากที่รกร้างริมทะเลจนกลายเป็นแหล่งรวมของโรงแรมระดับห้าดาว ศูนย์ประชุม และ บาหลีกอล์ฟแอนด์คันทรี่คลับ รวมทั้งแหล่งช้อปปิ้งและตลาด นอกจากนี้การบริการแบบบาหลีที่นุ่มนวลเป็นมิตรและยิ้มแย้ม ยิ่งสร้างเสน่ห์ให้กับบาหลีมากยิ่งขึ้น สปาแบบบาหลี หนึ่งในความสบายที่สัมผัสได้ ใช้บริการได้ทั้งหญิงและชาย ความโดดเด่นที่ทำให้สปาแบบบาหลีเป็นที่น่าสนใจคือ การนำเอาสมุนไพรแบบบาหลี – ลูลูร์ (Lulur) มาใช้
เมื่อมาถึงบาหลีแล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือการไปวัด โดยเฉพาะในวันที่มีพิธีกรรม เป็นสิ่งที่ยังคงดำรงอยู่ไม่สูญหาย เป็นเอกลักษณ์และความน่าชื่นชม บาหลี มีหมู่บ้านหัตถกรรม วัด โบราณสถาน และอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายที่ควรไปชม อยู่ด้านในตัวเกาะ อาทิเช่น

• ถ้ำช้างหรือกัวคชา (Goa Gajah)
ที่ปากถ้ำเป็นหินสลักรูปหน้ายักษ์อ้าปากกว้าง ข้างในมีรูปพระคเณศวร์และลึงค์สามแท่ง แทนเทพสามองค์คือ ศิวะ นารายณ์ และวิษณุ

• เทมปักเซริง (Tempaksering)
มีสถานที่ศักดิ์สิท์และมีความสำคัญอยู่สองแห่งคือ วัดเตียร์ตาอัมปึล (Tirta Empul) และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใสสะอาดที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน คนบาหลีเชื่อว่าถ้าได้มาอาบน้ำที่นี่จะเป็นสิริมงคลและขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากร่าง อีกแห่งคือ

กุหนุงกาวี (Gunung Gawi)
ที่ฝังพระศพโบราณตั้งแต่ 8-900 ปีก่อน

• เลยไปทางตะวันออก จะมุ่งสู่เบซากี (Besakih)
ซึ่งเป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุด และถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเหนือวัดทั้งปวง วัดเบซากี มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยวัดใหญ่น้อยรวมอยู่ด้วยกันถึง 22 วัด

• ถ้าขึ้นเหนือไปยังภูเขาบาต
ู จะได้ชมวิวสวยของภูเขาและทะเลสาบที่คินตามนี

• หากลงทางใต้ปลายสุดติ่ง
ใกล้ไ นูซาดูอา มีวัดอูลูวาตู อยู่ริมผาซึ่งมีความสวยงามมากในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เช่นเดียวกับวัดทานาลอต ซึ่งจะพิเศษสุดเวลาน้ำขึ้นท่วมทราย ตัดให้ก้อนหินใหญ่ที่ตั้งวัดกลายเป็นเกาะเล็กๆริมทะเล เป็นต้น
Barong Dance
เป็นการแสดงการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว บารองเป็นตัวแทนแห่งความดี ลักษณะครึ่งคนครึ่งสิงห์ ส่วนรังดาเป็นแม่มดฝ่ายอธรรม มีผู้แสดงประกอบเป็นสมุนของบารองซึ่งจะถูกมนต์ชั่วร้ายของรังดาให้หันมาทำร้ายกันเอง ในละครรำเรื่องนี้ รังดาไม่ถูกทำลายจนสิ้นไปเพราะชาวบาหลีมีความเชื่อในความสมดุลย์ของพลังเชิงบวกและพลังเชิงลบหากรังดาสิ้นชีวิตลงพลังชีวิตครึ่งนึงก็จะสูญหายไป

คินตะมะนี (Kintamani)

เป็นอำเภอบนภูเขา ซึ่งได้ชื่อมาจากเมืองโบราณ คินตะมะนีอยู่ที่ความสูง 1,500 เมตร มีภูเขาไฟบะตูร์ที่ยังคงมีร่องรอยของการระเบิดในอดีต ภูเขาไฟลูกนี้เป็นภูเขาไฟที่ยังคงมีชีวิต การปะทุของภูเขาไฟลูกนี้ครั้งล่าสุดเมื่อปี 1994 แต่การปะทุครั้งใหญ่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในปี 1926 และมีหมู่บ้านที่สวยงามบนปากปล่องภูเขาไฟ และมีทะเลสาบที่งดงามดูเป็นสีฟ้าใสราวกับแก้ว แต่บางครั้งกลับดูเป็นสีเงินเหมือนฉาบปรอท จัดเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของบาหลี

เทมภัคสิริงค์ ( Tampaksiring )
มีตีรตะเอมปลูน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะในหมู่ชาวบาหลี ผู้คนเชื่อกันว่าน้ำพุนี้มีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆ ทุกปีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะเดินทางมาที่นี่เพื่อชำระล้างมลทินในบ่อน้ำบริสุทธิ์ ก่อนอาบน้ำจะทำการบูชาขอบคุณเทพเจ้าแห่งน้ำพุ ที่แท่นบูชาและกรุณาจำไว้ว่าห้ามถ่ายรูปชาวบาหลีขณะอาบน้ำถือเป็นเรื่องที่หยาบคายมากๆ ทุกวันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนตุลาคม ชาวบ้านจากหมู่บ้านมุนะคะยา จะเดินทางมาที่นี่พร้อมกับหินศักดิ์สิทธิ์จากวัดปุราซะเกนัน เพื่อประกอบพิธีชำระล้างหิน
เบดูกัล (Bedugul)
เบดูกัลตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร จากระดับน้ำทะเลเป็นแหล่งที่พักตากอากาศ มีทะเลสาบที่สงบเงียบและถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟกุนุงบราตัน เป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญสำหรับไร่นาในแถบนี้ จึงมีพิธีบูชาเดวีดะเนา มีสนามกอล์ฟ 18 หลุม ที่ดีที่สุดแห่งหน่งในโลก วัดที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้แก่ วัดปุราตะนาห์ลอต (Pura Tanah Lot) วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนโขดหินใหญ่นอกฝั่งยื่นล้ำสู่ทะเลมองเห็นเป็นเงาสีดำ สวยที่สุดยามพระอาทิตย์ตกดิน ตะนาห์ลอต แปลว่า ผืนดินในท้องทะเล

สัญลักษณ์ประจำชาติ
สัตว์: มังกรโคโมโด (Komodo dragon หรือ Komodo monitor; (Varanus komodoensis) ชื่อพื้นเมืองคือ Ora ถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มที่อาจมีความยาวถึง 3 เมตร สามารถพบได้ที่เกาะโคโมโด (Komodo island) เกาะพาร์ด้า (Parda island) และเกาะริงก้า (Rinca island)
นก: เหยี่ยวอินทรีพันธุ์ชวา (Javan hawk eagle, Spizaetus bartelsi)
ดอกไม้: อินโดนีเซียมีดอกไม้ประจำชาติ 3 ชนิดคือ
1. เอื้องจันทรา (Moon orchid, Phalaenopsis amabilis) เป็นกล้วยไม้ที่พบเฉพาะบนเกาะชวาเท่านั้น ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า Bunga Anggrek Bulan,
2. ดอกมะลิซ้อน (Jasminum sambac) คนอินโดฯ เรียกว่า bunga Melati
3.Rafflesia arnoldi) ชื่อพื้นเมืองคือ Bunga Bangkai เป็นพืชพวกเดี่ยวกับกระโถนฤๅษี กระโถนนางสีดา กระโถนพระรามในประเทศไทย พืชชนิดนี้ถือเป็นดอกไม้ดอกเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

hello indonichi

http://www.mfa.go.th/internet/staticpage/indonesia.gifอินโดนีเซีย : กรุงจาการ์ตา
ข้อมูลเบื้องต้น
: กรุงจากาตาร์
ที่ตั้ง อินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ ประมาณ 17,508 เกาะ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พื้นที่ พื้นที่สำคัญแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ หมู่เกาะซุนดาใหญ่ หมู่เกาะซุนดาน้อย หมู่เกาะโมลุกะ (หมู่เกาะเครื่องเทศ) และอิเรียนจายา (ปาปัวนิกีนีตะวันตก)
ภูมิประเทศ เป็นป่าฝนเขตร้อน สภาพอากาศร้อนชื้น มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง 25-35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 75-95% ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 706 มิลลิเมตร
ประชากร อินโดนีเซียมีพลเมืองประมาณ 207.7 ล้านคน (2542) คาดว่าจะเพิ่มเป็น 210 ล้านคนเมื่อสิ้นปี 2543 นับว่ามีพลเมืองมากเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากจีน อินเดียและสหรัฐอเมริกา มีชนกลุ่มน้อยกว่า 500 เผ่า โดยมีภาษาพื้นเมืองมากกว่า 538 ภาษา
ศาสนา ประชากรร้อยละ 87 นับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสเตียน ร้อยละ 10 และศาสนาอื่นอีกร้อยละ 3 อาทิ พุทธ ฮินดู ฯลฯ
เมืองหลวง จาการ์ต้า (Jakarta)
ภาษา ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการและภาษาประจำชาติอินโดนีเซีย
สกุลเงิน รูเปีย (Rupiah)
         อินโดนีเซียได้ประกาศเอกราชจากการเป็นเมืองภายใต้อาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2488 จึงกำหนดให้วันที่ 17 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันชาติอินโดนีเซีย
         อินโดนีเซียมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีดินภูเขาไฟ เหมาะแก่การเพาะปลูก โดยเฉพาะบนเกาะชวามีการปลูกพืชที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ชา กาแฟ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด ถั่วเหลือง เครื่องเทศ ส่วนพืชสำคัญที่ปลูกบนเกาะสุมาตราได้แก่ ยางพารา ยาสูบ ชา กาแฟ ปาล์ม มะพร้าว พริกไทย อ้อย ฯลฯ
          นอกจากนั้น อินโดนีเซียมีพื้นที่ป่าไม้ร้อยละ 60 ของประเทศและมีทรัพยากรสัตว์น้ำจำนวนมาก   อินโดนีเซียยังอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ดีบุก ถ่านหิน บ๊อกไซด์ นิเกิล เหล็ก ฟอสเฟต ทองแดง ฯลฯ
การเมือง การปกครอง
          
 อินโดนีเซียปกครองในระบอบสาธารณรัฐ (Republic) มีประธานาธิบดีเป็นประมุข มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งครั้งละ 5 ปี และสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ติดต่อกันไม่เกิน 2 สมัยประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือนายซูซิโล มัมบัง ยุดโดโยโน (Susilo Bambang Youdhoyono) ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2547 เป็นต้นมา
             รัฐธรรมนูญอินโดนีเซีย ปี 2488 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศโดยใช้หลักปัญจศีลในการปกครองประเทศ ได้แก่  
นับถือพระเจ้าองค์เดียว
เป็นมนุษย์ที่เจริญและคงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม
ความเป็นเอกภาพของอินโดนีเซีย
ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน
ให้ความยุติธรรมแก่สังคมชาวอินโดนีเซียทั้งมวล
อินโดนีเซียแบ่งการปกครองเป็น 33 จังหวัด โดยมีการปกครองลักษณะพิเศษ 2 จังหวัด ได้แก่ กรุงจาการ์ตาและเมืองยอร์กจาร์การ์ตา และมีการปกครองแบบเขตปกครองพิเศษ 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอาเจะและจังหวัดปาปัว
การศึกษาและวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยของรัฐมี 49 แห่ง มหาวิทยาลัยเอกชนมีกว่า 950 แห่ง มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดคือ University of Indonesia (UI) มีนักศึกษาในปี 2542 เก่า 32,000 คน
อินโดนีเซียมีชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ กว่า 500 เผ่า จึงมีความหลากหลายด้านภาษา วิถีชีวิต การแต่งกาย วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีความสามัคคีกันในระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ ให้อยู่รวมกันอย่างสันติบนพื้นฐานหลักการ บินกินา ตุงกัล อิกา หรือ Unity in Diversity หรือความเป็นเอกภาพในความหลากหลาย
เมืองสำคัญ
กรุงจาการ์ตา (Jakarta)
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ประชากรประมาณ 10 ล้านคน
เมืองสุราบายา (Surabaya)
เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ประชากร 2.5 ล้านคน
เมืองบันดุง (Bandung)
เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 อยู่ห่างจากกรุงจาการ์ต้า ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 200 กิโลเมตร ประชากร 2.3 ล้านคน
เมืองเมดาน (Medan)
อยู่บนเกาะสุมาตราตอนเหนือ เป็นเมืองที่อยู่ในกรอบความร่วมมือสามเหลี่ยมเศรษฐกิจอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย เป็นศูนย์กลางการค้าและท่าเรือสินค้า ประชากร 2 ล้านคน